วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผู้จัดทำ

รายชื่อสมาชิก
1.นางสาวขวัญฤทัย            ซุ้มชัยวงศ์                 เลขที่ 36
2.นางสาวจิดาภา                  ฉายยะ                        เลขที่ 37
3.นางสาวณัฏฐาภรณ์          ไชยพันธ์                    เลขที่ 39
4.นางสาวศิริลักษณ์             หนูชู                           เลขที่ 43
5.นางสาวอภิญญา               บุตรวงศ์โสภา           เลขที่ 44
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 3

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พันธะเคมี

การเกิดพันธะ
การเกิดพันธะเกิดได้โดย
1. ให้อิเล็กตรอนแก่ธาตุอื่น
2. รับอิเล็กตรอนจากธาตุอื่น                
3. ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน
พันธะเคมีเกิดจาก แรงดึงดูดระหว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนในนิวเคลียส เมื่ออะตอมเคลื่อนที่เข้าใกล้กันจะเกิดแรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสของอะตอมหนึ่งกับอิเล็กตรอนของอีกอะตอมหนึ่ง
- อะตอมอยู่ห่างกันจะมีพลังงานค่าหนึ่ง ซึ่งมีพลังงานสูง

- เมื่ออะตอมทั้งสองเข้าใกล้กันจะเกิดแรงดึงดูดระหว่างกัน ทำให้พลังงานลดลง

- เมื่อเข้าใกล้กันระยะหนึ่งพลังงานจะต่ำที่สุด ขณะนั้นระบบจะเสถียร
ประเภทของพันธะเคมี
1.             พันธะโลหะ(Metallic Bond)
2.             พันธะไอออนิก(Ionic Bond)
3.             พันธะโคเวเลนต์(Covelent Bond)

พันธะโลหะ(Metallic Bond)
           พันธะโลหะ (Metallic bond) คือ แรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกซึ่งเรียงชิดกันกับอิเล็กตรอนที่อยู่โดยรอบ หรือเป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดจากอะตอมในก้อน โลหะใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมดร่วมกัน อิเล็กตรอนอิสระเกิดขึ้นได้ เพราะโลหะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนน้อย และมีพลังงานไอออไนเซชันต่ำ จึงทำให้เกิดกลุ่มของอิเล็กตรอน และไอออนบวกได้ง่าย
           ในพันธะโลหะอิเล็กตรอนไม่ได้เป็นของอะตอมใดอะตอมหนึ่งเพียงอะตอมเดียว แต่อิเล็กตรอนทุกตัวสามารถเคลื่อนที่ไปยังอะตอม ใกล้เคียงได้ซึ่งแตกต่างจากพันธะโควาเลนต์ ทั้งนี้เพราะแต่ละอะตอมในแท่งโลหะจะมีอะตอมอื่นอยู่โดยรอบ 8 หรือ 12 อะตอมอะตอมจึงมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนไม่พอที่จะทำให้เกิดคู่ของอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันแต่ละอะตอมกับอะตอมใกล้เคียงได้

สาเหตุของการเกิดพันธะโลหะ
1. โลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชั่นต่ำมาก แสดงว่าอิเล็กตรอนของโลหะจะหลุดออกไปได้ง่าย เมื่อวา
เลนซ์อิเล็กตรอนหลุดออกไป ก็จะเหลืออนุภาคบวกดังนี้
                อะตอมโลหะทุกอะตอมจะเป็นตัวให้อิเล็กตรอนทั้งสิ้นดังนั้นจะไม่มีอะตอมใดเลยที่ได้รับอิเล็กตรอน
                 2. โลหะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนน้อย ดังนั้นอิเล็กตรอนที่หลุดออกไป จะมีเพียง 1, 2 หรือ 3 ตัวต่ออะตอม เท่านั้น
                 
                 ดังนั้นการเกิดพันธะโลหะควรเป็นไปในลักษณะที่ว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมโลหะที่หลุดออกไปจะไม่เป็นของอะตอมใดอะตอมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะเป็นของอะตอมทั้งหมด โดยที่อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไปยังอะตอมนี้บ้าง อะตอมโน้นบ้าง ในผลึกของโลหะจึงเป็นการเอาอนุภาคบวกมาเรียงกันไว้อย่างมีระเบียบ และมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปมาได้ทั่วอนุภาคบวกเหล่านั้นเหมือนกับเป็นหมอกปกคลุมอนุภาคบวกทั้งหมด หรืออาจกล่าวได้ว่า อนุภาคบวกเหล่านั้นจมอยู่ในทะเลอิเล็กตรอน แรงดึงดูดระหว่างอนุภาคบวกกับอิเล็กตรอนเรียกว่า "พันธะโลหะ" ซึ่งมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างพันธะแข็งแรงมาก
                  สมบัติของโลหะ
                  1. โลหะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี เพราะอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ได้ง่าย
                  2. โลหะมีจุดหลอมเหลวสูง เพราะเวเลนต์อิเล็กตรอนของอะตอมทั้งหมดในก้อนโลหะยึดอะตอมไว้อย่างเหนียวแน่น
                  3. โลหะสามารถตีแผ่เป็นแผ่นบางๆได้ เพราะมีกลุ่มเวเลนต์อิเล็กตรอนทำหน้าที่ยึดอนุภาคให้เรียงกันไม่ขาดออกจากกัน
                  4. โลหะมีผิวเป็นมันวาว เพราะกลุ่มอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่โดยอิสระมีปฏิกิริยาต่อแสง จึงสะท้อนแสงทำให้มองเห็นเป็นมันวาว
                 5. สถานะปกติเป็นของแข็ง ยกเว้น Hg เป็นของเหลว
                 6. โลหะนำความร้อนได้ดี เพราะอิเล็กตรอนอิสระเคลื่อนที่ได้ทุกทิศทาง

พันธะไอออนิก(Ionic Bond)
                    พันธะไอออนิก ( Ionic bond ) คือ พันธะที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวก (cation) และไอออนลบ (anion) อันเนื่องมาจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน จากโลหะให้แก่อโลหะโดยทั่วไปแล้วพันธะไอออนิกเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะและอโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากว่าโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชัน (ionization energy) ลำดับที่ 1 ต่ำ จึงมีแนวโน้มที่จะเสียอิเล็กตรอนได้ง่ายเกิดเป็นไอออนบวกที่มีประจุเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่เสียไป
ตัวอย่าง  การเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl)
                                                                                  โครงผลึกของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์
โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
                     สารประกอบไอออนิกที่ปรากฏอยู่ในสถานะของแข็งมีการจัดเรียงตัวของไอออนบวกและไอออนลบเกิดเป็นผลึกที่มีโครงสร้างหลากหลายและแยกเป็นโมเลกุลเดี่ยวไม่ได้ ตัวอย่างเช่น โครงสร้างของผลึกโซเดียมคลอไรด์  เป็นของแข็ง รูปลูกบาศก์ ใสไม่มีสีในผลึก มีโซเดียมไอออนสลับกับคลอไรด์ไอออน เป็นแถว ๆ ทั้งสามมิติ   มีลักษณะคล้ายตาข่าย โดยที่แต่ละไอออนจะมีไอออนต่างชนิดล้อมรอบอยู่ 6 ไอออน

การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
         สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกและไอออนลบยึดเหนี่ยวกับด้วยแรงดึงดูดระหว่าง
ประจุไฟฟ้า ในการเขียนสูตรสารประกอบไอออนิกจึงต้องทราบว่าแต่ละธาตุที่ทำปฏิกิริยากันนั้นจะเกิดเป็นไอออนชนิดใด และมีจำนวนประจุเท่าใด ซึ่งพิจารณาได้จากการจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุ ดังตัวอย่าง
การเขียนสูตรสารประกอบไอออนิก
การเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกใช้หลักดังนี้
1. เขียนไอออนบวกของโลหะหรือกลุ่มไอออนบวกไว้ข้างหน้า ตามด้วยไอออนลบของอโลหะ หรือกลุ่มไอออนลบ ยกเว้นสารประกอบไอออนิกที่เป็นเกลืออะซิเตต (CH3COO-) จะเขียนกลุ่มไอออนลบไว้ก่อนแล้วตามด้วยไอออนบวกของโลหะ เช่น CH3COONa ,(CH3COO)2Ca                                                                                    
 2. ไอออนบวกและไอออนลบ จะรวมกันในอัตราส่วนที่ทำให้ผลรวมของประจุเป็นศูนย์ ดังนั้นจึงต้องหาตัวเลขมาคูณกับจำนวนประจุบนไอออนบวก และไอออนลบให้มีจำนวนประจุเท่ากัน แล้วใส่ตัวเลขเหล่านั้นไว้มุมขวาล่างของแต่ละไอออน ซึ่งทำได้โดยใช้จำนวนประจุบนไอออนบวกและไอออนลบคูณไขว้กัน
3. ถ้ากลุ่มไอออนบวกหรือกลุ่มไอออนลบมีมากกว่า 1 กลุ่ม ให้ใส่วงเล็บ ( ) และใส่จำนวนกลุ่มไว้ที่มุมล่างขวา

การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกการเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกมีหลักเกณฑ์ดังนี้
          1. สารประกอบธาตุคู่ (Binary compound) ถ้าสารประกอบเกิดจาก ธาตุโลหะที่มีไอออนได้ชนิดเดียวรวมตัวกับอโลหะ ให้อ่านชื่อโลหะที่เป็นไอออนบวก แล้วตามด้วยชื่ออโลหะที่เป็นไอออนลบโดยลงเสียงพยางค์ท้ายด้วย ไอด์ (ide) เช่น
          ออกซิเจน เปลี่ยนเป็น ออกไซด์ (oxide)
          ไฮโดรเจน เปลี่ยนเป็น ไฮไดรด์ (hydride)
          คลอรีน เปลี่ยนเป็น คลอไรด์ (chloride)
          ไอโอดีน เปลี่ยนเป็น ไอโอไดด์ (iodide)
ตัวอย่าง การอ่านชื่อสารประกอบไอออนิกธาตุคู่
          NaCl อ่านว่า โซเดียมคลอไรด์
          CaI2 อ่านว่า แคลเซียมไอโอไดด์
          KBr อ่านว่า โพแทสเซียมโบรไมด์
          NH4Cl อ่านว่า แอมโมเนียมคลอไรด์

          ถ้าสารประกอบที่เกิดจากธาตุโลหะเดียวกันที่มีไอออนได้หลายชนิด รวมตัวกับอโลหะ ให้อ่านชื่อโลหะที่เป็นไอออนบวกแล้วตามด้วยค่าประจุของไอออนโลหะโดยวงเล็บเป็นเลขโรมัน แล้วตามด้วยอโลหะที่เป็นไอออนลบโดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็นไอด์ (ide) เช่น
          Fe เกิดไอออนได้ 2 ชนิด คือ Fe2+ และ Fe3+
          
FeCl2 อ่านว่า ไอร์ออน (II) คลอไรด์
          FeCl3 อ่านว่า ไอร์ออน (III) คลอไรด์


           2. สารประกอบธาตุสามหรือมากกว่า ถ้าสารประกอบเกิดจากไอออนบวกของโลหะ หรือกลุ่มไอออนบวกรวมตัวกับ กลุ่มไอออนลบ ให้อ่านชื่อไอออนบวกของโลหะ (โลหะนั้นเกิดไอออนบวกได้ชนิดเดียว) หรือกลุ่มไอออนบวก แล้วตามด้วยชื่อกลุ่มไอออนลบ เช่น
           Na2SO4 อ่านว่า โซเดียมซัลเฟต
           CaCO3 อ่านว่า แคลเซียมคาร์บอเนต
            ถ้าสารประกอบเกิดจากโลหะที่เกิดไอออนได้หลายชนิดรวมตัวกับกลุ่มไอออนลบ ให้อ่านชื่อไอออนบวกของโลหะแล้ววงเล็บค่าประจุของไอออนบวกนั้น แล้วจึงอ่านชื่อกลุ่มไอออนลบตามหลัง เช่น
           Cr เกิดไอออนได้ 2 ชนิด คือ Cr2+ กับ Cr3+
           CrSO4 อ่านว่า โครเมียม (II) ซัลเฟต
           Cr2 (SO4)3 อ่านว่า โครเมียม (III) ซัลเฟต

พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
           ในการเกิดพันธะไอออนิกหรือสารประกอบไปออนิก จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายขั้นตอนด้วยกัน แต่จะมีกี่ขั้นขึ้นอยู่กับสมบัติของสารตั้งต้นและแต่ละขั้นตอนย่อยๆจะมีพลังงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วย โดยอาจเป็นการดูดพลังงานหรือคายพลังงาน
           ปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานมากกว่าคายพลังงาน จัดเป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงงาน ค่า H จะมีเครื่องหมายเป็นบวก
           ปฏิกิริยาที่มีการคายพลังงานมากกว่าดูดพลังงาน จัดเป็นปฏิกิริยาแบบคายพลังงงาน ค่า H จะมีเครื่องหมายเป็นลบ
           ดังตัวอย่างการเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) มีขั้นตอนดังนี้

โดยแบ่งเป็นขั้นต่างๆ ดังนี้
สมการรวมของปฏิกิริยาเขียนแสดงได้ ดังนี้


สมบัติของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกมีสมบัติบางประการ ดังนี้
           1. สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกและไอออนลบยึดเหนี่ยวกันอย่างแข็งแรง เมื่อทุบผลึกของสารไอออนิกจะเกิดการลื่นไถลของไอออนตามระนาบผลึก เป็นผลให้ไอออนชนิดเดียวกันเลื่อนไปอยู่ตรงกัน จึงเกิดแรงผลักระหว่างอน ทำให้ผลึกแตกออก เราจึงสังเกตพบว่าสารไอออนิกเปราะและแตกได้ง่าย
            2. มีขั้ว (Polar nature) สารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลเดี่ยว แต่จะเป็นของแข็งซึ่งประกอบด้วยไอออนจำนวนมากซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้า
            3.นำไฟฟ้าได้ เมื่อใส่สารประกอบไอออนิกลงในน้ำ ไอออนจะแยกออกจากกัน ทำให้สารละลายนำไฟฟ้าได้ ในทำนองเดียวกัน สารประกอบที่หลอมเหลวจะนำไฟฟ้าได้ด้วย เนื่องจากเมื่อหลอมเหลวไอออนจะเป็นอิสระจากกัน เกิดการไหลเวียนอิเลคตรอน ทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่จึงเกิดการนำไฟฟ้า
                4. มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงเพราะต้องการพลังงานความร้อนในการทำลายแรงดึงดูดระหว่างไอออนให้กลายเป็นของเหลวหรือกลายเป็นไอตามที่ต้องการ
                                            
ตารางสมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก
 
   จากข้อมูลในตารางจะพบว่า สารประกอบไอออนิกทุกสารมีสถานะเป็นของแข็ง มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง สารประกอบไอออนิกบางชนิดมีค่าสภาพละลายได้สูง บางชนิดมีค่าสภาพละลายได้ต่ำมาก และบางชนิดไม่ละลายน้ำ               5. สมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากไอออนที่มีประจุตรงกันข้ามรอบ ๆ ไอออนแต่ละไอออนจะมีสนามไฟฟ้าซึ่งไม่มีทิศทาง จึงทำให้เกิดสมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก

พลังงานกับการละลายของสารประกอบไอออนิก
           ขั้นที่ 1 เมื่อให้สารประกอบไอออนิกละลายน้ำ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ขั้นตอน ดังนี้
ของแข็งไอออนิกสลายตัวออกเป็นไอออนบวกและไอออนลบในสภาวะก๊าซ ขั้นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทดูดพลังงาน เพราะต้องใช้พลังงานเพื่อสลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไออออนลบ พลังงานที่ใช้ในขั้นนี้ เรียกว่า พลังงานแลตทิช หรือ พลังงานโครงร่างผลึก (Lattice Energy)


  
  

ขั้นที่ 2 ไอออนบวกและไอออนลบในภาวะก๊าซรวมตัวกับโมเลกุลของน้ำ กลายเป็นไอออนที่ถูกไฮเดรต เนื่องจากขั้นนี้เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวก และไอออนลบกับโมเลกุลของน้ำ ขั้นนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทคายพลังงาน พลังงานที่คายออกมาเรียกว่า พลังงานไฮเดรชัน เช่น เมื่อ โซเดียมคลอไรด์ ละลายน้ำ จะเกิดการเปลื่ยนแปลงขั้นดังนี้
 การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิก อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทดูดความร้อนหรือคายความร้อนก็ได้ ขึ้นอยู่กับค่าพลังงานแลตทิช และพลังงานไฮเดรชัน พิจารณาได้ดังนี้
           1. ถ้าพลังงานแลตทิชมากกว่าพลังงานไฮเดรชัน การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิกนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทดูดความร้อน
           2. ถ้าพลังงานแลตทิชน้อยว่าพลังงานไฮรเดรชัน การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิกนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทคายความร้อน
           3. ถ้าพลังงานแลตทิชเท่ากับพลังงานไฮเดรชัน การะลลายน้ำของสารประกอบไอออนิกนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
           4. ถ้าพลังงานแลตทิชมากกว่าพลังงานไฮเดรชันมาก ๆ สารประกอบไอออนิกนั้นละลายน้ำได้น้อยมาก จนถึอว่าไม่ละลาย เหตุที่ไม่ละลายเพราะว่า แรงยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบแข็งแรงมาก โมเลกุลของน้ำจึงไม่สามารถดึงให้แยกออกจากันได้ หรือกล่าวได้ว่า แรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบแข็งแรงกว่าแรงดึงดูดระหว่างไอออนกับโมเลกุลของน้ำมาก
            เหตุที่ไม่ละลายเพราะว่า แรงยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบแข็งแรงมาก โมเลกุลของน้ำจึงไม่สามารถดึงให้แยกออกจากันได้ หรือกล่าวได้ว่า แรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบแข็งแรงกว่าแรงดึงดูดระหว่างไอออนกับโมเลกุลของน้ำมาก

การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิก
เกณฑ์การละลายของสาร
- ไม่ละลายน้ำ (ละลายได้นิดหน่อย) คือ ละลายได้น้อยกว่า 1 กรัม/น้ำ 1000 cm3 ที่ 25oc (อุณหภูมิห้อง)
- ละลายได้เล็กน้อย คือ ละลายได้ 1 - 10 กรัม/น้ำ 1000 cm3ที่ 25oc
- ละลายได้ดี คือ ละลายได้มากกว่า 10 กรัม/น้ำ 1000 cm3ที่ 25oc

สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ำได้
- สารประกอบของโลหะหมู่ 1 ทุกตัว เช่น NaCl, Li2CO3, K2SO4
- สารประกอบของแอมโมเนียมไอออนทุกตัว เช่น NH4Cl , (NH4)3PO4
- สารประกอบของไนเตรตไอออนทุกตัว เช่น Cu(NO3)2, Al(NO3)3
- สารประกอบของคลอเรตไอออนทุกตัว เช่น LiClO3, Mg(ClO3)2
- สารประกอบของเปอร์คลอเรตไอออนทุกตัว ยกเว้น KClO4
- สารประกอบแอซีเตตไอออนทุกตัว ยกเว้น CH3COOAg

สารประกอบไอออนิกที่ไม่ละลายน้ำ
- สารประกอบของโลหะหมู่ 2 กับ CO32-, Po43-, SO42- ยกเว้น MgSO4
- สารประกอบของอโลหะหมู่ 7 กับ Ag+, Hg22+ และ Pb2+ เช่น *AgCl, PbI2
- สารประกอบออกไซด์ ซัลไฟล์ และ ไฮดรอกไซด์ของโลหะทุกชนิด ยกเว้นโลหะหมู่ 1 และ หมู่ 2 บางตัว เช่น Ca2+, Sr2+, Ba2+
* ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายได้ดีใน NH3


ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
           เมื่อสารประกอบไอออนิกละลายในน้ำ ไอออนบวก และ ไอออนลบจะแยกออกจากกันและถูกล้อมรอบด้วยโมเลกุลของน้ำหลายโมเลกุล เมื่อผสมสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)2) กับสารละลายโซเดียมคาร์บอเนต (Na2Co3) แล้วพบว่ามีตะกอนสีขาวเกิดขึ้น ตะกอนนี้ไม่ควรเป็นโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เพราะว่า NaOH ละลายได้ในน้ำและแตกตัวเป็นไอออนอยู่ในของเหลว ดังนั้นจึงเป็นตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) สามารถเขียนสมการได้ ดังนี้
           สมการที่แสดงไอออนอิสระของสารประกอบไอออนิกในสารละลายครบทุกชนิดเช่นนี้เรียกว่า " สมการไอออนิก" เนื่องจากปฏิกิริยานี้มี OH และ Na ปรากฏอยู่ทั้ง 2 ด้าน และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาจึงตัดออกไปได้ ส่งไอออนที่ทำปฏิกิริยาแล้ว ได้ผลิตภัณฑ์คือ Ca กับ CO3เท่านั้นจึงเขียนสมการได้เป็น ดังนี้ 
 สมการข้างต้นเรียกว่า "สมการไอออนิกสุทธิ"


  
พันธะโคเวเลนต์(Covelent Bonds)
การเกิดพันธะโคเวเลนต์
         เกิดจากธาตุเอาเวเลนต์อิเล็กตรอนมาใช้ร่วมกัน ได้แก่ สารประกอบที่เกิดจากอโลหะกับอโลหะ รวมทั้ง B และ Be หรือเกิดจากสารประกอบที่มีค่า EN และ IE สูง แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1.พันธะเดี่ยว (single bond)  เช่น  Cl2 หรือ Cl - Cl
2.พันธะคู่(double bond) เช่น  O2 หรือ O = O
3.พันธะสาม(triple bond) เช่น  N2 หรือ N = N
อิเล็กตรอนที่เกิดพันธะ เรียกว่า "อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ"
อิเล็กตรอนที่ไม่ได้เกิดพันธะ เรียกว่า "อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว" 
สมบัติของโมเลกุลโคเวเลนต์
1. จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ เพราะการเดือดทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
(จุดเดือดของแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล เป็นดังนี้ พันธะไฮโดรเจน > แรงดึงดูดระหว่างขั้ว > แรงลอนดอน)
2. ส่วนใหญ่ไม่นำไฟฟ้า แต่จะนำได้ถ้ามีขั้วและโมเลกุลนั้นสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้
3. เขียนสูตรโมเลกุลได้
4. หน่วยเล็กที่สุด เรียกว่า "โมเลกุล"
การอ่านชื่อโมเลกุลโคเวเลนต์
1.สารประกอบของธาตุคู่ ให้อ่านชื่อธาตุที่อยู่ข้างหน้าก่อนแล้ว ตามด้วยชื่อธาตุที่อยู่หลังโดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น ไอด์ ( ide)
2. ให้ระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุด้วยเลขจำนวนในภาษากรีกดังนี้
                     1 = mono- (มอนอ)         2 = di- (ได)
                     3 = tri- (ไตร)                   4 = tetra- (เตตระ)
                     5 = penta- (เพนตะ)       6 = hexa- (เฮกซะ)
                     7 = hepta- (เฮปตะ)       8 = octa- (ออกตะ)
                     9 = mona- (โมนะ)        10 = deca- (เดคะ)

3. ถ้าสารประกอบนั้น อะตอมของธาตุแรกมีเพียงอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจำนวนอะตอมของธาตุนั้น แต่ถ้าธาตุข้างหลังในสารประกอบใด ถึงแม้มีเพียงหนึ่งอะตอมก็ต้องระบุจำนวนอะตอมด้วยคำว่า มอนอเสมอ เช่น
                     N2O3 อ่านว่า ไดไนโตรเจนไตรออกไซด์
                     PCl5 อ่านว่า ฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์
4. การเรียกชื่อสารโคเวเลนซ์ที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบบางชนิดไม่เป็นไปตามหลักที่กำหนดไว้ เช่น
                     H2S อ่านว่า ไฮโดรเจนซัลไฟด์
                     HCl อ่านว่า ไฮโดรเจนคลอไรด์
           ไม่มีการระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุ นอกจากนี้ H2O (น้ำ) , NH3 (แอมโมเนีย ) , CH4 (มีเทน) มักเรียกชื่อสารโดยใช้ชื่อสามัญ

หลักการเขียนสูตรแสดงพันธะของโมเลกุลโคเวเลนต์
1. สารที่มีจำนวนแขนมากที่สุด สารนั้นจะต้องเป็นอะตอมกลาง โดยจำนวนแขนของสารต่างๆ เป็นดังนี้
F , Cl , Br , I , H   มี 1 แขน
O , S   มี 2 แขน
N   มี 3 แขน
C , Si   มี 4 แขน
2. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีหลักดังนี้
อัลเคน CnH2n+n มีพันธะเดี๋ยวทั้งหมด เช่น C2H6, C3H8,C5H12
อัลคีน CnH2nมีพันธะคู่ 1 แห่งเช่น C2H4, C3H6
อัลคายน์ C2H2n-2 มีพันธะสาม 1 แห่ง เช่น C2H2, C5H8, C20H38
(ถ้าเป็นสารประกอบประเภทไดอีนจะมีพันธะคู่ 2 แห่ง)
3. กรดออกซี มีหลักการเขียนดังนี้ ให้เอา H ต่อกับ O แขนของ O อีกด้านหนึ่งต่อกับอะตอมกลาง ส่วน O ที่เหลือจะต่อกับอะตอมกลางแบบพันธะคู่ หรือโคออร์ดิเนตก็ได้ ขึ้นอยู่กับอะตอมกลางนั้น กล่าวคือ ถ้าอะตอมกลางยังไม่ครบ 8 ต้องต่อแบบพันธะคู่ แต่ถ้าอะตอมกลางครบ 8 แล้วให้ต่อแบบโคออร์ดิเนต
4. สารประกอบออกซิเจนล้อมรอบ มีหลักดังนี้ ให้เอา O ล้อมรอบอะตอมกลางว่า ครบ 8 หรือยัง ถ้ายังไม่ครบจะเกิดพันธะคู่ แต่ถ้าครบแล้วเกิดพันธะโคออร์ดิเนต
พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์
           ได้แก่ พันธะที่เกิดจากอะตอมใดอะตอมหนึ่งจ่ายอิเล็กตรอนคู่ไปให้ธาตุตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อให้มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน ครบ 8 โดยไม่รับอิเล็กตรอนจากธาตุตัวนั้นกลับมา
รีโซแนนซ์ (Resonance)
           รีโซแนนซ์ คือ ปรากฎการณ์ที่สารใดสารหนึ่ง เขียนสูตรที่ถูกต้องหลายแบบ เนื่องจากพันธะคู่เคลื่อนที่   สารใดเกิดปรากฎการณ์รีโซแนนซ์ได้สารนั้นจะเสถียรมาก  สารประกอบที่เกิดรีโซแนนซ์ได้ ความยาวพันธะและพลังงานในโมเลกุลจะเท่ากันหมด
กฎออกเตต
กฎออกเตต กล่าวว่า สารประกอบโดยทั่วไปจะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 และสารนั้นจะเสถียรมาก
สารประกอบที่ครบออกเตต ได้แก่
1. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนทุกตัว เช่น C2H6 , C5H8 เป็นต้น     
2. กรดออกซีทุกตัว  
จำนวนพันธะ
1. ถ้าเป็นสารประกอบโคเวเลนต์แท้ๆ จำนวนพันธะ = จำนวนอโลหะทั้งหมด -1 เช่น
        CO2 มี 2 พันธะ ,  C4H9COOH มี 16 พันธะ
2. ถ้าเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม 1 วง จำนวนพันธะ จำนวนอโลหะทั้งหมด เช่น
        S8 มี 8 พันธะ ,  C6H5CH3 มี 15 พันธะ
3. ถ้าเป็นพันธะไอออนิกผสมโคเวเลนต์ ให้คิดเฉพาะพันธะโคเวเลนต์เท่านั้น เช่น
         NaClO3 มี 3 พันธะ ,  Mg(NO3)2 มี 6 พันธะ
4. ถ้าเป็นสารประกอบ NH4+ ให้แยกคิดของ NH4+ และสารที่มาเป็นส่วนประกอบของNH4+ เช่น
         (NH4)2O มี 8 พันธะ (O ไม่ได้เกาะกับใคร)  ,   (NH4)2SO4มี 12 พันธะ
5. ถ้าเป็นสารประกอบไอออนิกแท้ ไม่มีจำนวนพันธะ เช่น
         NaCl, MgS, KI, AlCl3, CaF2, Al2O3
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
        รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับ ทิศทางของพันธะโคเวเลนต์ , ความยาวพันธะ , และมุมระหว่างพันธะโคเวเลนต์รอบอะตอมกลาง  ส่วนทิศทางของพันธะขึ้นอยู่กับ
- แรงผลักระหว่างพันธะรอบอะตอมกลาง เพื่อให้ห่างกันมากที่สุด
หมายเหต    สีแดง = อะตอมกลาง
                     สีน้ำเงิน = อะตอมกลาง
                     สีเขียว = อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว